วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

สิ่งที่ประทับใจในมหาวิยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด

สิ่งที่ประทับใจในมหาวิยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด

ม ห า วิ ท ยา ลั ย รา ช ภั ฏ ร้ อ ย เ อ็ ด
“มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดเป็นสถานศึกษาที่มีคุณภาพ ภายใต้ร่มธรรม ร่มรื่น ร่มเย็น”
มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดเป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ดำเนินการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการตั้งอยู่บนถนนสายร้อยเอ็ด - โพนทอง
ห่างจากสนามบินร้อยเอ็ดประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นมหาวิทยาลัยที่มุ่งมั่นในการเสริมสร้างความรู้และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นแหล่งความรู้ตลอดชีวิตของท้องถิ่นต่อไป

สิ่งที่ประทับใจในมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ดคือ"บอร์ดแนะนำและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับอาเซี่ยน"ที่ติดอยู๋ในชั้นสองของตึก 9 ชั้น ของมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด


บอร์ดแนะนำแผนที่ สมาชิกประชาคมอาเซี่ยน  ทำให้เรารู้ถึงสมาชิกและพิกัดที่อยู่ของแต่ละประเทศบนแผนที่ และทำให้ทราบว่ามีประเทศใดบ้าง



สมาชิกในสมาคมอาเซียนได้แก่

1.ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam)
2.ประเทศกัมพูชา (Cambodia)

3.ประเทศอินโดนีเซีย (Indonesia)
4.ประเทศลาว (Laos)

5.ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)

6.ประเทศเมียนมาร์ หรือพม่า (Myanmar)

7.ประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines)

8.ประเทศสิงคโปร์ (Singapore)

9.ประเทศเวียดนาม (Vietnam)

10.ประเทศไทย (Thailand)

บอร์ดแนะนำเกี่ยวกับรถรับจ้างในแต่ละประเทศในอาเซี่ยน ทำให้เราทราบถึงการคมนาคมการโดยสารรถรับจ้างของในแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกัน


บอร์ดแนะนำ สัตว์ประจำชาติของแต่ละประเทศ ว่ามีอะไรบ้างประเทศไหนมีตัวอะไรเป็นสัตว์ประจำชาติ



“ประเทศไทย”
                   “ช้าง” เป็นสัตว์ประจำชาติไทย ช้างถือเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง เนื่องจากคนไทยมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับช้างมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ครั้งหนึ่งบนธงชาติไทยก็เคยมีรูปช้างปรากฎอยู่บนผืนธงสีแดง กระทั่งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2541 คณะรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้มีมติเห็นชอบประกาศให้วันที่ 13 มีนาคมของทุกปี เป็นวันอนุรักษ์ช้างไทย เพื่อให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญและการดำรงอยู่ของช้างไทย
“เมียนมาร์”
      “เสือ” เป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศเมียนมาร์ ลักษณะของเสือสามารถบ่งบอกได้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของประเทศเมียนมาร์
 “อินโดนีเซีย”
                    “มังกรโคโมโด” เป็นสัตว์ประจำชาติอินโดนีเซีย มังกรโคโมโดเป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่า (มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก) มังกรโคโมโดถือเป็นสัตว์เลื้อยคลานใกล้สูญพันธุ์ สามารถพบได้เฉพาะบนเกาะโคโมโด (Komodo Island) ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ เนื่องจากเป็นเกาะภูเขาไฟกลางทะเล
“ฟิลิปปินส์”
                   “กระบือ” เป็นสัตว์ประจำชาติฟิลิปปินส์ กระบือในภาษาตากาล็อกเรียกว่า คาราบาว สำหรับในประเทศฟิลิปปินส์เลี้ยงกระบือเพื่อใช้แรงงานในไร่นา หรือใช้สำหรับการชักลากซุงออกจากป่า โดยลักษณะนิสัยพฤติกรรมของกระบือนั้น เมื่อว่างเว้นจากการถูกใช้งานมักจะชอบนอนแช่น้ำหรือแช่ปลักโคลนเพื่อเป็นการผ่อนคลายความร้อนของร่างกาย
“มาเลเซีย”
                   “เสือมลายู” เป็นสัตว์ประจำชาติมาเลเซีย เสือมลายูมีถิ่นฐานอยู่ทางตอนกลางและตอนใต้ของคาบสมุทรมลายู โดยจะเห็นสัญลักษณ์ของเสือมลายูได้จากบนตราแผ่นดินของประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นการแสดงถึงพละกำลังและความกล้าหาญของชาวมาเลเซีย อีกทั้งยังใช้เป็นชื่อเล่นของฟุตบอลทีมชาติมาเลเซียอีกด้วย
“กัมพูชา”
                  “กูปรี” หรือ “โคไพร” เป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศกัมพูชา (เจ้านโรดมสีหนุแห่งกัมพูชาทรงประกาศให้กูปรีเป็นสัตว์ประจำชาติของกัมพูชา) กูปรีเป็นสัตว์จำพวกกระทิงและวัวป่า มักอยู่รวมเป็นฝูง โดยฝูงหนึ่งอาจมากถึง 20 ตัว กูปรีจัดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่พบเห็นได้ยากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก พบได้ทางเหนือของประเทศกัมพูชา ทางใต้ของลาว ทางตะวันตกของเวียดนาม และทางตะวันออกของไทย ปัจจุบันไม่มีการรายงานการพบมานานแล้ว เชื่อว่าอาจจะยังพอมีหลงเหลืออยู่ในชายแดนไทยกับกัมพูชาแถบจังหวัดศรีสะเกษ ราวปี พ.ศ. 2507 มักจะมีข่าวว่าพบสัตว์ลักษณะคล้ายกูปรีอยู่บ่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่น่าเชื่อถือพอ นอกจากคำเล่าลือเท่านั้น
 “สิงคโปร์”
                  “สิงโต” เป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อประเทศ มาจากคำว่า สิงหปุระ (Singapura) เป็นภาษาสันสกฤต หมายถึงเมืองแห่งสิงโต ตามตำนานเล่าขานเจ้าผู้ครองนครแห่งปาเล็มบัง ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของอินโดนีเซีย ได้ออกเดินทางแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อสร้างเมือง แต่เรือก็อับปางลง พระองค์ได้ว่ายน้ำขึ้นฝั่ง แล้วก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีรูปร่างลำตัวสีแดงหัวดำหัวคล้ายสิงโตหน้าอกขาว พระองค์จึงถามคนติดตามว่า สัตว์ตัวนั้นคืออะไรคนติดตามก็ตอบว่ามันคือสิงโต พระองค์จึงเปลี่ยนชื่อเกาะแห่งนั้นเสียใหม่ว่า สิงหปุระ ซึ่งจริงๆ แล้วสัตว์ชนิดนั้นอาจเป็นเสือ เพราะไม่มีหลักฐานว่ามีการพบสิงโตบนเกาะมาก่อน แต่ประเทศสิงคโปร์และสิงโตก็มีความเกี่ยวข้องกันนับจากนั้นเป็นต้นมา
      ปัจจุบันบนตราแผ่นดินสิงคโปร์ มีสิงโตปรากฏอยู่เคียงคู่กับเสือโคร่ง โดยสิงโตด้านขวานั้นแทนประเทศสิงคโปร์ ส่วนเสือโคร่งด้านซ้ายนั้นแทนประเทศมาเลเซียแสดงถึงความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ของเกาะสิงคโปร์กับมาเลเซีย โดยสิงโตนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนความกล้าหาญ พละกำลังและความดีเลิศ
“ลาว”
                “ช้าง” เป็นสัตว์ประจำชาติประเทศลาว ช้างถือเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองที่มีความผูกพันกับชาวลาวเป็นอย่างยิ่ง ในอดีตลาวได้รับการเรียกขานว่าเป็นเมืองล้านช้าง แต่ปัจจุบันประชากรช้างในลาวอยู่ในภาวะวิกฤต รัฐบาลลาวจึงได้ฟื้นฟูและอนุรักษ์ช้างลาวไว้ โดยการจัดงานบุญช้างขึ้นเป็นประจำทุกปี
“บรูไน”
                   “เสือโคร่ง” เป็นสัตว์ประจำชาติบรูไน เสือโคร่งหรือเสือลายพาดกลอน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จัดเป็นสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris ในวงศ์ Felidae จัดเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ และเป็นเสือสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดด้วย (ขณะที่บางข้อมูลว่า บรูไน ไม่มีสัตว์ประจำชาติ)
“เวียดนาม”
                                              “กระบือ” หรือควาย เป็นสัตว์ประจำชาติประเทศเวียดนาม สามารถพบเห็นได้ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม



3 เสาหลักอาเซียน


3 เสาหลักอาเซียน หมายถึง ประชาคมอาเซียน ซึ่งเป็นภาพรวมของการรวมตัวกันของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน โดยตามข้อตกลงบาหลี 2 เมื่อปี พ.ศ.2546 ได้มีข้อตกลงให้มีการจัดตั้งประชาคมอาเซียนขึ้น โดยแบ่งแยกออกเป็น 3 ประชาคมย่อย โดยทั้ง 3 ประชาคมย่อยนั้น เราเรียกว่า 3 เสาหลักอาเซียนนั่นเอง ซึ่งมีการกำหนดเป้าหมายให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2563 แต่ต่อมามีการกำหนดให้แล้วเสร็จให้เร็วขึ้นจากเดิมอีก 5 ปี คือต้องแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2558

ธงชาติของแต่ละชาติในสมาคมอาเซียน


การแต่งกายของประเทศในอาเซียน


แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของแต่ละประเทศ



 8.  อาหารประจำชาติ

1.ประเทศไทย
         ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong)  แค่เอ่ยชื่อก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ต้มยำกุ้งเป็นอาหารคาวที่เหมาะสำหรับรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในต้มยำกุ้ง นอกจากจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการเจริญอาหารได้เป็นอย่างดี
      และเนื่องจากต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่มีรสเปรี้ยว และเผ็ดเป็นหลัก ทำให้รับประทานแล้วไม่เลี่ยน จึงทำให้ต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมถึงชาวต่างชาติเองก็ติดอกติดใจในความอร่อยของต้มยำกุ้งเช่นเดียวกัน
2.ประเทศกัมพูชา
         อาม็อก (Amok) เป็นอาหารคาวยอดนิยมของกัมพูชา มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย โดยเป็นการนำเนื้อปลาสด ๆ ลวกพริกเครื่องแกง และกะทิ แล้วทำให้สุกโดยการนำไปนึ่ง ซึ่งนอกจากจะใช้เนื้อปลาแล้ว อาจเลือกใช้เนื้อไก่แทนก็ได้ ส่วนสาเหตุที่คนในประเทศกัมพูชานิยมรับประทานปลา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของกัมพูชามีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ทำให้ปลาเป็นอาหารที่หารับประทานได้ง่ายนั่นเอง

3.ประเทศบรูไน
         อัมบูยัต (Ambuyat) เป็นอาหารยอดนิยมของบรูไน มีลักษณะเด่นอยู่ที่ตัวแป้งจะเหนียวข้นคล้ายข้าวต้ม หรือโจ๊ก โดยมีแป้งสาคูเป็นส่วนผสมหลัก ตัวแป้งอัมบูยัตเอง ไม่มีรสชาติ แต่ความอร่อยจะอยู่ที่การจิ้มกับซอสผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว นอกจากนี้ยังมีเครื่องเคียงอีก 2-3 ชนิด เช่น ผักสด เนื้อห่อใบตองย่าง หรือเนื้อทอด  ทั้งนี้ การรับประทานอัมบูยัตให้ได้รสชาติ ต้องรับประทานตอนร้อน ๆ จึงจะดีที่สุด

4.ประเทศพม่า

         หล่าเพ็ด (Lahpet) เป็นอาหารยอดนิยมของพม่า โดยการนำใบชาหมักมาทานกับเครื่องเคียง เช่น กระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาคั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว เรียกได้ว่า มีลักษณะคล้ายคลึงกับเมี่ยงคำของประเทศไทย ซึ่งหล่าเพ็ดนี้ จะเป็นเมนูอาหารที่ขาดไม่ได้ในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญ ๆ ของประเทศพม่า โดยกล่าวกันว่า หากงานเลี้ยง หรืองานเฉลิมฉลองใด ไม่มีหล่าเพ็ด จะถือว่าการนั้นเป็นงานที่ขาดความสมบูรณ์ไปเลยทีเดียว
5.ประเทศฟิลิปปินส์
         อโดโบ้ (Adobo) เป็นอาหารยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ ทำจากเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ ที่ผ่านการหมัก และปรุงรส โดยจะใส่น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วขาว กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไปทำให้สุกโดยอบในเตาอบ หรือทอด แล้วนำมารับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ
      ในอดีตอาหารจานนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทาง เนื่องจากส่วนผสมของอโดโบ้สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เหมาะสำหรับพกไว้เป็นเสบียงอาหารระหว่างการเดินทาง ซึ่งปัจจุบันอโดโบ้ได้กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่นำมารับประทานกันได้ทุกที่ทุกเวลา





6.ประเทศสิงคโปร์

         ลักซา (Laksa) อาหารขึ้นชื่อของประเทศสิงคโปร์ ลักซามีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่กะทิ ทำให้รสชาติเข้มข้น คล้ายคลึงกับข้าวซอยของไทย โดยลักซาจะมีส่วนผสมของ กุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารทะเลเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ ทว่า แบบที่ใส่กะทิจะเป็นที่นิยมมากกว่า

7.ประเทศอินโดนีเซีย

         กาโด กาโด (Gado Gado) อาหารยอดนิยมของประเทศอินโดนีเซีย ประกอบไปด้วยผัก และธัญพืชหลากหลายชนิด  ทั้งแครอท มันฝรั่ง กะหล่ำปลี ถั่วงอก ถั่วเขียว นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้ และไข่ต้มสุกด้วย กาโด กาโดจะนำมารับประทานกับซอสถั่วที่คล้ายกับซอสสะเต๊ะ อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องสมุนไพรในซอส อาทิ รากผักชี หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ทำให้เมื่อรับประทานแล้วจะไม่รู้สึกเลี่ยนกะทิมากจนเกินไปนั่นเอง
8. ประเทศลาว
         สลัดหลวงพระบาง (Luang Prabang Salad) เป็นอาหารขึ้นชื่ออีกชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีรสชาติกลาง ๆ ทำให้รับประทานได้ทั้งชาวตะวันออก และตะวันตก โดยส่วนประกอบสำคัญคือ ผักน้ำ ซึ่งเป็นผักป่าที่ขึ้นตามริมธารน้ำไหล และยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น  มันแกว แตงกวา มะเขือเทศ ไข่ต้ม ผักกาดหอม และหมูสับลวกสุก ส่วนวิธีปรุงรสคือ ราดด้วยน้ำสลัดชนิดใส คลุกส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และถั่วลิสงคั่ว
9.ประเทศมาเลเซีย
         นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) อาหารยอดนิยมของประเทศมาเลเซีย โดยนาซิ เลอมัก จะเป็นข้าวหุงกับกะทิ และใบเตย ทานพร้อมเครื่องเคียง 4 อย่าง ได้แก่ ปลากะตักทอดกรอบ แตงกวาหั่น  ไข่ต้มสุก และถั่วอบ ซึ่งนาซิ เลอมักแบบดั้งเดิมจะห่อด้วยใบตอง และมักทานเป็นอาหารเช้า แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกมื้อ และแพร่หลายในประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง เช่น สิงคโปร์ และภาคใต้ของไทยด้วย

10.ประเทศเวียดนาม

         เปาะเปี๊ยะเวียดนาม  (Vietnamese Spring Rolls) ถือเป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองที่โด่งดังที่สุดของประเทศเวียดนาม ความอร่อยของเปาะเปี๊ยะเวียดนาม อยู่ที่การนำแผ่นแป้งซึ่งทำจากข้าวจ้าวมาห่อไส้ ซึ่งอาจจะเป็นไก่ หมู กุ้ง หรือหมูยอ โดยนำมารวมกับผักสมุนไพรอีกหลายชนิด เช่น สะระแหน่ ผักกาดหอม และนำมารับประทานคู่กับน้ำจิ้มหวาน โดยจะมีถั่วคั่ว แครอทซอย ไชเท้าซอย ให้เติมตามใจชอบ และบางครั้งอาจมีเครื่องเคียงอย่างอื่นเพิ่มด้วย




9. ดอกไม้ประจำชาติ

1. ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand) ดอกไม้ประจำชาติ คือ ดอกราชพฤกษ์ พวงสีเหลืองห้อยระย้า ที่คุ้นเคยกันดี โดยเฉพาะหน้าร้อน เราจะเห็นต้นราชพฤกษ์ ออกดอกสะพรั่งให้พรึ่บพรั่บตามท้องถนน
2. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ดอกไม้ประจำชาติ คือ ดอกจำปาลาว มีกลิ่หอมอ่อนๆ
3. สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ดอกไม้ประจำชาติ คือ ประดู่ สีเหลืองทอง ที่หอมกรุ่นอย่างมากโดยเฉพาะในฤดูฝน
4. ราชอาณาจักรกัมพูชา ดอกไม้ประจำชาติ คือ ดอกลำดวน ขาวปนเหลืองนวล หอมเย็นกรุ่นๆ

5. มาเลเซีย ดอกไม้ประจำชาติ คือ พู่ระหง หรือภาษาถิ่นเขาเรียกว่า บุหงารายอ แต่คนไทยรู้จักกันดี ในชื่อของดอกชบาสีแดง

6. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ดอกไม้ประจำชาติ ก็คือ ดอกกล้วยไม้ราตรี (Moon Orchid) ซึ่งว่ากันว่า เป็นดอกกล้วยไม้ที่บานอยู่ได้นานที่สุด
7. บรูไน ดารุสซาลาม ประเทศเศรษฐีบ่อน้ำมัน ก็มีดอกไม้ประจำถิ่น สีเหลือง ที่ถ้าหากบานแล้วจะมีลักษณะคล้ายร่ม อย่าง ซิมปอร์ หรือ ดอกส้านชะวา (Dillenia) เป็นดอกไม้ประจำชาติ

8. สิงคโปร์ ประเทศที่เล็กที่สุดในภูมิภาคนี้ ดอกไม้ประจำชาติ คือ ดอกกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim) เป็นสัญลักษณ์แทน

9. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เป็น ดอกพุดแก้ว (Sampaguita Jasmine) ที่มีกลีบดอกสีขาวเป็นรูปดาว ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนในตอนกลางคืน

10. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ดอกไม้ประจำชาติ ก็คือ ดอกบัว ซึ่งคนไทยคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ ซึ่งมักถูกถึงในบทกลอนและเพลงพื้นเมืองของชาวเวียดนามอยู่บ่อยครั้ง

การนับเลขของแต่ละประเทศ



เหตุผลที่ผมประทับใจบอร์ดแนะนำอาเซี่ยนนี้เพราะว่า มันสามารถทำให้เราได้รู้ถึงสภาพแวดล้อม การเป็นอยู่ ภาษา ระบบการเมืองการปกครองของแต่ละประเทศ และทำให้เราสามารถใช้ในการเอาตัวรอกเมื่อเราต้องเดินทางไปทำกิจกรรมหรือไปท่องเที่ยวในประเทศต่างๆในอาเซียนได้อีกด้วย







การขนายพันธ์ุและปัจจัยในการเลี้ยง


การขยายพันธุ์
เป็นแมวหายากอีกสายพันธุ์หนึ่ง แม้ว่าจะสามารถเพาะพันธุ์ได้ตลอดปี แต่อัตราการเกิดต่ำกว่าแมวทั่วไป ขณะที่อัตราการตายจะสูงกว่าแมวพันธุ์อื่น เนื่องจากด้วยพันธุ์มันมียีนด้อย ส่งผลให้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อายุขัยโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 9-15 ปี การผสมพันธุ์สฟิงซ์ ต้องใช้แมวสายพันธุ์เดียวกันเท่านั้น ลูกจึงจะออกมาไร้ขนและไม่ควรผสมพันธุ์กันเองในคอกเดียวกัน ซึ่งอาจจะมีผลทำให้ลูกที่เกิดมาอ่อนแอและตายได้ อาจเสริมด้วยนมหรือแคลเซียมบ้างในช่วงผสมพันธุ์หรือช่วงตั้งท้อง


ปัจจัยที่มีผลต่อขน
เป็นที่เข้าใจโดยทั่วไปว่า แมวสฟิงซ์เป็นแมวไม่มีขน แต่แท้จริงแล้วแมวสฟิงซ์นั้นจะมีขนบาง ๆ ปกคลุมอยู่ทั่วตัว และในบางตัวนั้นก็จะสามารถเห็นขนในบางจุดได้ชัดกว่าตัวอื่น โดยเฉพาะในบริเวณหาง อุ้งเท้า ใบหน้า และแนวสันหลัง ด้วยความที่แมวสฟิงซ์ อาจยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในไทย จึงทำให้มีผู้เลี้ยงจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าแมวสฟิงซ์ที่เลี้ยง ซึ่งบางตัวที่ มีขนงอกออกมามากกว่าที่จะเป็นแค่ขนบางๆนั้น เข้าใจผิดว่ามันไม่ใช่แมวสฟิงซ์แท้ ซึ่งอันที่จริงแล้วถือว่าแทบจะเป็นเรื่องปกติของแมวสฟิงซ์เลย ที่จะมีขนงอกออกมามากกว่าที่จะเป็นแค่ขนบางๆในบางส่วน แต่ขนต้องไม่ถึงกับจัดเป็นแมวพันธุ์ Short Hair ปัจจัยที่สามารถทำให้เกิดมีมากมายอาทิเช่น
1.สภาพอากาศ
สภาพอากาศที่แมวอาศัยอยู่ เช่น อากาศที่หนาวเย็น อาจส่งผลถึงขนแมวที่จะขึ้นยาวและชัดกว่าแมวที่อาศัยอยู่ในที่อากาศร้อน
2.อาหาร
เป็นที่ทราบกันดีว่า ตลาดแมวขนยาวมีขนาดใหญ่ในประเทศไทย แมวทุกสายพันธุ์สามารถกินอาหารแมวได้เกือบเหมือนกันทั้งหมด แต่อาหารแมวทั่วไปนั้นเป็นอาหารเพื่อแมวมีขน ซึ่งมีทั้งสูตรเร่งขน บำรุงขน ซึ่งมีผลต่อขนแมวที่จะขึ้นด้วย
3.ระดับฮอร์โมน
แมวที่กำลังติดสัดนั้น ในแมวเพศเมียจะมีความแปรปรวนทางฮอร์โมนซึ่งทำให้มีผลต่อขนที่จะขึ้น
4.ลักษณะเฉพาะ
แมวสฟิงซ์แต่ละตัวจะมีลักษณะเฉพาะของแต่ละตัว ซึ่งมีผลต่อขนที่ขึ้นตามส่วนต่างๆของมัน ซึ่งในกรณีของแมวสฟิงซ์แล้ว โดยพื้นฐานก็เป็นแมวกลายพันธุ์ที่ผิดธรรมชาติมาตั้งแต่แรกแล้ว
5.ปัจจัยอื่นๆ

ต้นกำเนิดและการค้นพบแมวสฟิงซ์

ต้นกำเนิดแมวสฟิงซ์
ต้นกำเนิดของแมวสฟิงซ์ยังเป็นที่ถกเถียงกันถึงแหล่งที่มาว่ามีแหล่งกำเนิดมาจากอียิปต์หรือฮาวายแต่แมวสฟิงซ์ตัวแรกที่ถูกนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเกิดขึ้นครั้งแรกในแคนาดาเมื่อปี 1966 ต่อมาจึงได้กลายเป็นแมวพันธุ์ๆหนึ่ง โดยใช้แมวขนสั้นของอเมริกามาผสม สมาคมผู้เลี้ยงแมวส่วนใหญ่ไม่ยอมรับแมวพันธุ์นี้ และเป็นพันธุ์ที่มีปัญหาถกเถียงกันอยู่


การค้นพบ
ตามบันทึกได้มีระบุว่ามีการค้นพบแมวสฟิงซ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1830 หรือบางบันทึกระบุว่ามีการพบครั้งแรกที่ประเทศเม็กซิโกเมื่อปี ค.ศ. 1900 ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัด หลังจากนั้นข่าวคราวของมันก็เงียบหายไป จนกระทั่งมามีการพบอีกครั้งที่สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1950 แมวสฟิงซ์ใน ปัจจุบัน หรือ "โมเดิรน์สฟิงซ์" เป็นลูกหลานของแมวไม่มีขน ที่เกิดในแคนาดา เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1960 – 1970 โดยกลุ่มคนรักแมวในประเทศแคนาดานำไปพัฒนาสายพันธุ์ กระทั่งปี ค.ศ. 1998 สฟิงซ์ ได้รับการรับรองสายพันธุ์จาก CFA (The Cat Fanciers Association) แห่งสหรัฐอเมริกา บางบันทึกกล่าวว่า แมวสฟิงซ์ เกิดจากการผ่าเหล่าของแมวไทย พันธุ์วิเชียรมาศ หรือที่ฝรั่งเรียก ไซมิสแคท ด้วยเหตุนี้มันจึงมีลักษณะคล้ายแมวไทยมาก

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

แมวพันธุ์สฟิงซ์ (Sphynx)


แมวพันธุ์สฟิงซ์ (Sphynx)


      
 แมวพันธุ์สฟิงซ์หลายคนรู้จักกันดีในฉายเจ้าแมวไร้ขน  หรือหลายคนคงไปนึกถึงรูปปั้นที่หัวเป็นคนตัวเป็นสิงโตที่อียิปต์ไม่ใช่นะคะเราพูดถึงแมวกันอยู่  แมวพันธุ์นี้บางคนก็ว่าแมวประหลาดแต่บางคนกลับหลงรักเจ้าแมวพันธุ์นี้เป็นอย่างมาก เพราะอะไรนะเหรอมาดูกันดีกว่า

  • ถิ่นกำเนิด   มีคนถกเถียงกันว่าแมวพันธุ์นี้เป็นแมวที่มาจากอียิปต์หรือฮาวายกันแน่   แต่ที่แน่ ๆ เลยก็คือมันถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงครั้งแรกในแคนดา

  • ลักษณะ     หัวมีทรงคล้ายลิ่ม หูเป็นรูปสามเหลี่ยมปลายมนกลม ตาสีอำพัน ลำตัวยาว ขายาวปานกลาง ผิวหนัง สีน้ำตาลขาว หรือดำขาว ขนเส้นเล็กสั้น พื้นท้องแถบขาวยาวตั้งแต่ปากตลอดทั้งลำตัว หาง ยาวปลายเรียว ถ้าพูดถึงขนของมันไม่มีเลย



  • อุปนิสัย    เป็นแมวที่มีความรักใคร่เป็นมิตรกับเจ้าของมากที่สุดเลยก็ว่าได้  เชื่อฟังเจ้าของ  มีท่าทีที่เป็นมิตรกับคนแปลกหน้าด้วย เรียกว่าเชื่องมาก ๆ แถมยังขี้อ้อน ขี้ประจบเจ้าของอีกต่างหาก  ถ้ามันต้องหารความสนใจมันจะร้องด้วยเสียงเบา ๆ ของมัน แถมเสียงยังขาดหายเป็นจังหวะประมาณว่าเหมือนคนเสียงแหบ



  • การดูแล   แมวไร้ขนมีข้อดีเป็นอย่างยิ่งต่อการดูแล  แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่ต้องดูแลเลยนะคะ  เพราะด้วยการไม่มีขนของมันผิวหนังมันจึงผลิตน้ำมันมาเคลือบผิวเพ่ือปกป้องผิว  จึงต้องการการอาบน้ำและดูแลอย่างเหมาะสมเพ่ือให้ผิวหนังของมันมีสุขภาพดี  และถ้าคุณพามันไปออกแดดละก็ควรทาครีมกันแดดสำหรับผิวทารกด้วยนะคะ  เพื่อปกป้องผิวหนังของมันจากการโดนทำร้ายจากแสงแดด















  • แมวสฟิงซ์ถือเป็นแมวที่เหมาะกับคนเป็นโรคภูมิแพ้ด้วย  เพราะมันเป็นสัตว์ที่ไม่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ (Hypoallergenic) ในบรรดาแมว ๆ ทั้งหลายเลย  แถมนิสัยของมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากแมวทั่วไปด้วยแต่ยังเป็นมิตรกว่าแมวทั่ว ๆ ไปเลยด้วยซ้ำ  เพราะฉะนั้นสำหรับคนรักแมวที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือคนที่กลัวเป็นภูมิแพ้ก็สามารถหามาเลี้ยงกันได้นะคะ
  •      ราคาเจ้าแมวพันธุ์นี้ก็ไม่เบานะครับ 20,000 บาทขึ้นไปกันเลยทีเดียว  แหม่ ๆ เห็นมันหน้าตาแปลก ๆ อย่างนี้เป็นสัตว์เลี้ยงที่ราคาสูงเอาการเลยทีเดียว